วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2560

บทที่ 3 นิทานเวตาล (เรื่องที่ 10)

บทที่ 3 นิทานเวตาล (เรื่องที่ 10)

ความเป็นมา
                นิทานเวตาล ฉบับนิพนธ์ พระราชวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ มีที่มาจากวรรณกรรมสันสกฤตของอินเดีย  โดยมีชื่อเดิมว่า เวตาลปัญจวิงศติ” ศิวทาสได้แต่งไว้ในสมัยโบราณ
                  ต่อมาได้มีผู้นำนิทานเวตาลทั้งฉบับภาษาสันสกฤตและภาษาฮินดีมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดยร้อยเอก เซอร์ ริชาร์ด เอฟ. เบอร์ตัน  ก็ได้นำมาแปลและเรียบเรียงแต่งแปลงเป็นสำนวนภาษาของตนเองให้คนอังกฤษอ่าน แต่ไม่ครบทั้ง 25 เรื่อง กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ได้ทรงแปลนิทานเวตาลจากฉบับของเบอร์ตัน จำนวน 9 เรื่อง และจากฉบับแปลสำนวนของ ซี. เอช. ทอว์นีย์   อีก 1 เรื่อง รวมเป็นฉบับภาษาไทยของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ 10 เรื่อง เมื่อ พ.ศ. 2461
                   นิทานเวตาลเป็นนิทานที่มีลักษณะเป็นนิทานซับซ้อนนิทาน คือ มีนิทานเรื่องย่อยซ้อนอยู่ในนิทานเรื่องใหญ่

ประวัติผู้แต่ง
            พระราชวงศ์เธอ    กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ทรงชำนาญด้านภาษาและวรรณคดีเป็นพิเศษ ได้ทรงนิพนธ์หนังสือไว้มากมายโดยใช้นามแฝงว่า น.ม.ส. ซึ่งทรงเลือกจากตัวอักษรตัวหลังพยางค์ของพระนาม (พระองค์เจ้า) รัชนีแจ่มจรัส


ลักษณะคำประพันธ์
           นิทานเวตาล แต่งเป็นร้อยแก้ว    โดยนำทำนองเขียนร้อยแก้วของฝรั่งมาปรับเข้ากับสำนวนไทยได้อย่างกลมกลืน และไม่ทำให้เสียอรรถรส แต่กลับทำให้ภาษาไทยมีชีวิตชีวา จึงได้รับยกย่องเป็นสำนวนร้อยแก้วที่ใหม่ที่สุดในยุคนั้น เรียกว่า สำนวน น.ม.ส.” 

บทที่ 2 อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง

บทที่ 2 อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง


          อิเหนา เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เป็นบทละครรำที่พร้อมเพรียงทั้งเนื้อหา ความไพเราะ กระบวนการเล่นละคร และยังสะท้อนถึงประเพณีไทยในอดีต โดยแม้บทละครรำเรื่อง อิเหนา จะมีพื้นเพมาจากชวา แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ทรงปรับแก้ให้เข้ากับธรรมเนียมของบ้านเมือง และรสนิยมของคนไทย
 ลักษณะคำประพันธ์ เรื่อง อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง
         ลักษณะคำประพันธ์เป็นกลอนบทละคร แต่มีลักษณะบังคับเหมือนกลอนสี่สุภาพ แต่ละวรรคจะขึ้นด้วยคำว่า เมื่อนั้น บัดนั้น และ มาจะกล่าวบทไป
 จุดมุ่งหมายของบทละคร เรื่อง อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง
         เพื่อใช้ในการแสดงละครใน
 เท้าความเรื่อง อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง
        ในดินแดนชวาโบราณ มีกษัตริย์วงศ์หนึ่งที่ชื่อว่า วงศ์สัญแดหวาหรือวงศ์เทวา สืบเชื้อสายมาจากเทวดา ใช้คำนำหน้านามว่า ระเด่น ส่วนกษัตริย์นอกวงศ์นั้น จะใช้คำนำหน้านามว่า ระตู โดยที่ท้าวปะตาระกาหลา มีโอรส 4 พระองค์ ครองเมือง 4 เมือง ได้แก่ องค์แรกครองเมืองกุเรปัน ชื่อ ท้าวกุเรปัน องค์ที่สองครองเมืองดาหา ชื่อท้าวดาหา  องค์ที่สามครองเมืองกาหลัง ชื่อท้าวกาหลัง และองค์ที่สี่ครองเมืองสิงหัดส่าหรี ชื่อท้าวสิงหัดส่าหรี
       ทั้งนี้ กษัตริย์ในวงศ์เทวา จะมีมเหสีมีมเหสีได้ถึง 5 องค์ และทั้ง 5 องค์ จะมีลำดับตำแหน่งได้แก่ ประไหมสุหรี  มะเดหวี มะโต ลิกู เหมาหราหงี และโดยที่ 3 โอรสแห่งวงศ์เทวา ได้ไปสมรสกับ ธิดา 3 พระองค์ของระตูหมันหยา ได้แก่ 
        นิหลาอระตา ธิดาองค์โตได้สมรสกับท้าวกุเรปัน และได้ไปเป็นประไหมสุหรีที่เมืองกุเรปัน
        ดาหราวาตี ธิดาองค์รองได้สมรสกับท้าวดาหา และได้ไปเป็นประไหมสุหรีที่เมืองดาหา
        ระเด่นจินดาส่าหรี พระธิดาองค์สุดท้อง ได้สมรสกับโอรสของท้าวมังกัน ผู้ครองเมืองมังกัน ต่อมาทั้งจินดาส่าหรีและโอรสของท้าวมังกัน ได้มาครองเมืองหมันหยา ทำให้โอรสของท้าวมังกัน จึงมีชื่อเรียกขานเป็น ระตูหมันหยา
        ทั้งนี้ ท้าวกุเรปันมีพระโอรสองค์แรกกับลิกู พระมเหสีองค์ที่ 4 ชื่อว่า กะหรัดตะปาตี  มีโอรสองค์ที่ 2 กับประไหมสุหรี นิหลาอระตา คือ อิเหนา หรือ ระเด่นมนตรี  และมีพระธิดาชื่อ วิยะดา ส่วนท้าวดาหามีธิดาองค์แรกกับประไหมสุหรี ดาหราวาตี คือ บุษบา และมีโอรสอีกหนึ่งพระองค์คือ สียะตรา ท้าวทั้งสองพระองค์จึงหมั้นบุษบาไว้กับอิเหนา และหมั้นสียะตราไว้กับวิยะดา                          ด้านระตูหมันหยากับประไหมสุหรี จินดาส่าหรี มีพระธิดาคือ จินตะหราวาตี ขณะที่ท้าวสิงหัดส่าหรีกับประไหมสุหรี ก็มีพระโอรสคือ ระเด่นสุหรานากง และพระธิดาชื่อว่า จินดาส่าหรี ส่วนท้าวกาหลังมีพระธิดาคือ สการะหนึ่งหรัด และเป็นคู่หมั้นของ ระเด่นสุหรานากง 
         หลังจากที่พระอัยกาเมืองหมันหยาสิ้นพระชนม์ ท้าวกุเรปันจึงสั่งให้อิเหนาเข้าร่วมพิธีถวายพระเพลิงพร้อมกับกะหรัดตะปาตี ในระหว่างนั้นเอง อิเหนาได้พบจินตะหราวาตีจึงเกิดหลงรัก และเมื่อเสร็จงานก็ไม่ยอมกลับเมืองกุเรปัน ท้าวกุเรปันจึงอ้างว่า พระมเหสีประไหมสุหรีกำลังจะมีพระประสูติกาล ขอให้อิเหนากลับเมืองด่วน เมื่ออิเหนากลับมาก็เห็นพระราชมารดาให้กำเนิดพระธิดานาม วิยะดา                  แต่ถึงกระนั้น อิเหนายังพยายามกลับเมืองหมันหยาอีกครั้ง โดยออกอุบายปลอมเป็นโจรป่าชื่อว่า มิสารปันหยี  ระหว่างทางได้รบกับระตูบุศิหนา เจ้าเมืองบุศิหนา จนระตูบุศิหนาเสียชีวิต นางดรสาอันเป็นมเหสีของระตูบุศิหนา จึงกระโดดเข้ากองไฟตายตามสามี ด้านระตูจะรากันและระตูปักมาหงัน พี่ชายของระตูบุศิหนา ได้ขอยอมแพ้ จึงถวายพระโอรสและธิดาให้กับอิเหนา คือ นางสะการะวาตี  นางมาหยารัศมี และสังคามาระตา เมื่ออิเหนาเข้าเมืองหมันหยาจึงได้ลักลอบพบนางจินตะหราวาตี อีกทั้งยังได้นางสะการะวาตี และนางมาหยารัศมีเป็นชายา พร้อมกับยกย่องให้ สังคามาระตา เป็นน้องชาย                  อย่างไรก็ตาม ท้าวกุเรปันได้เรียกอิเหนากลับเมืองอีกครั้ง เพื่อจัดงานอภิเษกของอิเหนาและนางบุษบา แต่อิเหนาไม่ยอมกลับ ท้าวกุเรปันและท้าวดาหาจึงขุ่นเคืองใจกัน และทำให้ท้าวดาหาหลุดปากออกมาว่า หากใครอยากได้นางบุษบาจะยอมยกให้                  ด้านจรกา หนุ่มรูปชั่วตัวดำ ซึ่งเป็นระตูเมืองเล็กเมืองหนึ่ง และเป็นพระอนุชาของท้าวล่าส่ำ มีความใฝ่ฝันอยากได้ชายารูปงาม จึงให้ช่างไปแอบวาดภาพนางจินดาส่าหรี  ธิดาของเมืองสิงหัดส่าหรีมาให้ดู แต่เมื่อทราบว่านางบุษบาสวยมากจึงสั่งให้ช่างไปวาดภาพนางบุษบาอีก โดยวาดได้ตอนที่นางบุษบาเพิ่งตื่นบรรทมและแต่งองค์เต็มที่ แต่ภาพที่แต่งองค์เต็มที่หายไปขณะอยู่ในป่า แต่เพียงจรกาได้เห็นแค่ภาพของบุษบาตอนตื่นบรรทมก็ถึงกับหลงรักจนถึงขั้นสลบไปเลย และยิ่งทราบว่าบุษบาร้างคู่ตุนาหงัน จึงหมายจะมาสู่ขอบุษบา ท้าวดาหาซึ่งลั่นวาจาไว้แล้วว่า หากใครมาขอบุษบาก็จะยกให้ จึงยอมยกนางบุษบาให้จรกา และให้ทั้งสองคนแต่งงานภายใน 3 เดือน



เรื่องย่อ อิเหนา ตอน ศึกกะหมังกุหนิง
          ด้านกษัติร์ย์อีกวงศ์หนึ่งคือ ท้าวกะหมังกุหนิง มีพระโอรสคือ วิหยาสะกำ ครองเมืองปาหยัง  และโอรสอีกพระองค์ครองเมืองปะหมันสลัด วันหนึ่งวิหยาสะกำได้เสด็จประพาสป่า ได้เจอรูปนางบุษบาที่หายไป จึงคลั่งไคล้นางบุษบาเป็นอย่างมาก ท้าวกะหมังกุหนิงจึงสืบเรื่องและให้ทูตไปสู่ขอ แต่ท้าวดาหาได้ยกนางบุษบาให้จรกาไปแล้ว ท้าวกะหมังกุหนิง จึงตั้งใจจะยกทัพมาแย่งชิงนางบุษบาไป โดยให้ระตูปาหยังและระตูปะหมัน พระอนุชายกทัพมาช่วย โดยมีวิหยาสะกำเป็นทัพหน้า และพระอนุชาทั้งสองคนเป็นทัพหลัง
         ด้านท้าวดาหา เมื่อทราบความว่าท้าวกะหมังกุหนิงเตรียมยกทัพมาตี จึงได้ขอความช่วยเหลือจากท้าวกุเรปัน ท้าวกาหลัง และท้าวสิงหัดส่าหรี ท้าวกุเรปันจึงได้ส่งพระราชสาสน์มาฉบับหนึ่ง เพื่อให้อิเหนายกทัพมาช่วย อีกฉบับส่งให้ระตูหมันหยา พร้อมตำหนิที่นางจินตะหราวาตี ลูกสาวของระตูหมันหยา เป็นต้นเหตุของการเกิดศึกนี้ ระตูหมันหยารู้สึกผิดจึงส่งทัพไปช่วยอิเหนา ด้านท้าวกาหลังก็ให้ ตำมะหงงกับดะหมังมาช่วย และท้าวสิงหัดส่าหรีก็ส่งสุหรานากงมาช่วยเช่นกัน จนกระทั่งถึงเมืองดาหา อิเหนาจึงมีบัญชาให้รบกับท้าวกะหมังกุหนิง
         เมื่อทั้งสองฝ่าย ฝ่ายทัพของท้าวดาหาและท้าวกะหมังกุหนิงเผชิญหน้ากัน  สังคามาระตาก็ต่อสู้กับวิหยาสะกำ ซึ่งวิหยาสะกำเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำถูกสังคามาระตาสังหาร เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงเห็นลูกตายก็โกรธ จึงควบม้าไล่ตามสังคามาระตา อิเหนาจึงเข้าสกัดเอาไว้และทั้งสองจึงต่อสู้กัน แต่อิเหนามองว่าท้าวกะหมังกุหนิงเก่งเพลงดาบจึงขอให้ใช้กริชสู้ สุดท้ายอิเหนาใช้กริชสังหารท้าวกะหมังกุหนิง ระตูปะหมันและระตูปาหยัง คิดว่าทัพของอิเหนานั้นยิ่งใหญ่เกินจะต้านทาน ไพร่พลจึงกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ระตูทั้งสองจึงขอยอมแพ้อิเหนาพร้อมทั้งเข้าเฝ้า และคร่ำครวญว่ากะหมังกุหนิงไม่เคยรบแพ้ใคร แต่เพราะรักลูกมากเกินไปจึงติดประมาท วิหยาสะกำเองก็ตายตั้งแต่อายุยังน้อย แม้จะมีความกล้าหาญมากก็ตาม
ตัวละคร เรื่อง อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง
         อิเหนา : เป็นโอรสของท้าวกุเรปันกับประไหมสุหรี นิหลาอระตา  มีลักษณะเจ้าชู้ แต่มีความเป็นชายชาติทหารอย่างนักรบ เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว
         ท้าวกุเรปัน : เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ มีพระอนุชา 3 องค์ ได้แก่ เมืองดาหา กาหลัง สิงหัดส่าหรี นิสัยเป็นคนถือยศศักดิ์ รักเกียรติ์และวงศ์ตระกูล
         ท้าวดาหา : เป็นพระอนุชาขององค์รองของท้าวกุเรปัน เป็นคนรักษาคำพูด มีขัตติยะมานะ รอบคอบในการศึก
         นางบุษบา : นางบุษบาเป็นคนที่อยู่ในโอวาทของพ่อแม่ แม้จะไม่พอใจในรูปร่างของตรกา แต่ก็ไม่ปฏิเสธเมื่อพ่อแม่ยกนางบุษบาให้จรกา บุษบาเป็นคนไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง แม้ตนเองจะสูงศักดิ์
         ท้าวกะหมังกุหนิง : เป็นกษัติรย์เมืองกะหมังกุหนิง มีความรักต่อลูก ใจเด็ด แต่ประมาท
         วิหยาสะกำ : เป็นคนเอาแต่ใจ ยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง ใจเด็ด แต่ด้วยความที่อายุยังน้อย เลยใจร้อน ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร
กลวิธีด้านการแต่ง เรื่อง อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง
        1. ด้านจินตภาพ ผู้แต่งสามารถบรรยายคำออกมาได้ชัดเจนสมบูรณ์ ทำให้ผู้อ่านคิดภาพตามได้และเกิดอรรถรส
        2. ภาพพจน์ ผู้แต่งใช้การแต่งแบบอุปมา โดยการใช้คำเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งหนึ่ง ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น และใช้การเปรียบเทียบเกินจริง เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพมากขึ้น
        3. การเล่นคำ มีการเล่นคำซ้ำ ใช้ภาษาสละสลวย พ้องเสียง การเล่นสัมผัสพยัญชนะ
คำศัพท์ เรื่อง อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง
        กระยาหงัน       แปลว่า วิมาน  สวรรค์ชั้นฟ้า        กะระตะ           แปลว่า เร่งม้า        กั้นหยั่น           แปลว่า อาวุธสำหรับเหน็บติดตัว        กิดาหยัน         แปลว่า ผู้มีหน้าที่รับใช้ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์        กิริณี              แปลว่า ช้าง        แก้วพุกาม        แปลว่า แก้วอันมีค่าจากเมืองพุกามในพม่า
        เขนง              แปลว่า เขาสัตว์สำหรับใส่ดินปืน        คับแคบ          แปลว่า ชื่อนกชนิดหนึ่งเป็นนกเป็ดน้ำที่มีขนาดเล็กที่สุด        เค้าโมง           แปลว่า ชื่อนกมีหลายชนิดหากินเวลากลางคืน เค้า หรือ ฮูก ก็เรียก        แค                แปลว่า ชื่อต้นไม้ดอกมีสีขาวและแดง ยอดอ่อนและฝักกินได้        งาแซง           แปลว่า ไม่เสี้ยมปลายแหลม วางเอนเรียงเป็นลำดับสำหรับป้องกัน        จากพราก       แปลว่า ชื่อนกในวงศ์นกเป็ดน้ำ ในวรรณคดีนิยมว่าคู่ของนกชนิดนี้ว่าต้องพรากและครวญถึงกันในเวลากลางคืน
        เจียระบาด       แปลว่า  ผ้าคาดเอวชนิดหนึ่ง มีชายห้อยที่หน้าขา        ชนัก              แปลว่า  เครื่องผูกคอช้าง ทำด้วยเชือกมีปมหรือห่วงห้อยพาดลงมาเพื่อให้คนที่ขี่ใช้หัวแม่เท้าคีบกันตก
        ชักปีกกา        แปลว่า รูปกองทัพที่ตั้ง มีกองขวา กองซ้ายคล้ายปีก        ชาลี              แปลว่า ตาข่าย        ชังคลอง         แปลว่า แย่งทางที่ตนจะได้เปรียบ        เช็ดหน้า         แปลว่า  ผ้าเช็ดหน้า        ดะหมัง           แปลว่า  เสนาผู้ใหญ่
        ตระเวนไพร     แปลว่า ชื่อของนกชนิดหนึ่ง ชอบหากินเป็นฝูง        ตรัสเตร็จ        แปลว่า สว่างแจ้ง สวยงาม        ตาด              แปลว่า ผ้าทอด้วยไหมควบเส้นเงินหรือเส้นทอง        ตำมะหงง        แปลว่า  เสนาผู้ใหญ่        ตุนาหงัน         แปลว่า  หมั้น
        เต่าร้าง          แปลว่า ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง ต้นคล้ายต้นหมาก ผลทะลายเป็นพวง        ไถ้               แปลว่า ถุงสำหรับคาดเอวนำติดตัวไปที่ต่างๆ        ธงฉาน          แปลว่า ธงนำกระบวนการ มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม        ธงชาย          แปลว่า ธงมีชายเป็นรูปสามเหลี่ยม        นามครุฑา      แปลว่า ชื่อการตั้งค่ายกองทัพตามตำราพิชัยสงคราม        แน่นนันต์       แปลว่า มากมาย
        บุหรง            แปลว่า นกยูง        เบญจวรรณ    แปลว่า นกแก้ว ขนาดใหญ่มีหลายสี        ประเสบัน       แปลว่า ที่พักเจ้านาย        ปาเตะ           แปลว่า  ชื่อตำแหน่งขุนนาง        ปืนตับ           แปลว่า  ปืนหลายกระบอกเรียงกันเป็นตับ
        พลขันธ์         แปลว่า  กองกำลังทหาร        พันตู            แปลว่า ต่อสู้ติดพัน        โพยมบน       แปลว่า ท้องฟ้าเบื้องบน        ไพชยนต์       แปลว่า ชื่อรถหรือวิมานของพระอินทร์ ใช้เรียกที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน        เฟื่อง            แปลว่า ครื่องห้อยโยงตามช่องหน้าต่างเพื่อประดับให้งาม        ภัสม์ธุลี         แปลว่า  ผง ฝุ่น ละออง        มณฑก         แปลว่า เรียกปืนเล็กยาวชนิดหนึ่งว่า ปืนมณฑก

บทที่1 คำนมัสการคุณานุคุณ

 บทที่1 คำนมัสการคุณานุคุณ

   คำนมัสการคุณานุคุณ เป็นผลงานการประพันธ์ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อยอาจารยางกูร) มีเนื้อหาว่าด้วยการน้อมรำลึกและสำนึกในคุณงามความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา และครูอาจารย์ โดยมีความมุ่งหมายให้ผู้อ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนไทย ยึดมั่นในความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณและนำแบบอย่างอันดีงามไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
๑.      ความเป็นมา
คำนมัสการคุณานุคุณที่คัดมาให้ศึกษามีเนื้อหาแบ่งออกเป็น ๕ ตอน แต่ละตอนมีที่มาจากคาถาภาษาบาลี ดังนี้
คำนมัสการพระพุทธคุณ : อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวาพุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ
-                   พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
      คำนมัสการพระธรรมคุณ :สวาก ขาโต ภะคะวะตา ธัมโมธัมมังนะมัสสามิ
      คำนมัสการพระสังฆคุณ : สุปะฏิปปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆสังฆัง นะมามิ
     คำนมัสการมาตาปิตุคุณ : มารดาทั้งสองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคุณอันหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าขอไหว่เท้าทั้งสองของมารดาบิดาของข้าพเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูง
     คำนมัสการพระอาจริยคุณ ครูอาจารย์ผู้ใหญ่และผู้น้อยทั้งหลายล้วนเป็นผู้มีพระคุณอันประเสริฐยิ่ง ได้อบรมสั่งสอนให้ศิษย์มีวิชาความรู้ ได้ให้โอวาทตักเตือนด้วยเมตตาธรรม ข้าพเจ้าขอกราบไว้คุณครูอาจารย์เหล่านั้นด้วยความเคารพ
๒.    ประวัติผู้แต่ง
          พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารกูร) เป็นนักปราชญ์คนสำคัญของไทยในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รอบรู้ในวิชาภาษาไทยและได้ชื่อว่าเป็นข้าราชการที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ทั้งยังเป็นครูที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม อุทิศชีวิตเพื่อพัฒนาการศึกษาของชาติอีกด้วย

คำนมัสการพระพุทธคุณ
   อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
                                             องค์ใดพระสัมพุทธ              สุวิสุทธะสันดาน
                                             ตัดมูลกิเลสมาร                   บ่มิหม่นมิหมองมัว
                                             หนึ่งในพระทัยท่าน             ก็เบิกบานคือดอกบัว
                                             ราคีบ่พันพัว                         สุวคนธะกำจร
                                             องค์ใดประกอบด้วย            พระกรุณาดังสาคร
                                             โปรดหมู่ประชากร              มละโอฆะกันดาร
                                             ชี้ทางบรรเทาทุกข์                และชี้สุขเกษมสานต์
                                             ชี้ทางพระนฤพาน                อันพ้นโศกวิโยคภัย
                                            พร้อมเบญจพิธจัก-              ษุจรัสวิมลใส
                                             เห็นเหตุที่ใกล้ไกล               ก็เจนจบประจักษ์จริง
                                            กำจัดน้ำใจหยาบ                 สันดานบาปแห่งชายหญิง
                                            สัตว์โลกได้พึ่งพิง                มละบาปบำเพ็ญบุญ
                                            ลูกขอประณตน้อม              ศิรเกล้าบังคมคุณ
                                            สัมพุทธการุญ-                    ยภาพนั้นนิรันดร ฯ

คำนมัสการพระธรรมคุณ
กาพย์ฉบัง ๑๖
                 ธรรมะคือคุณากร
ส่วนชอบสาธร
ดุจดวงประทีปชัชวาล
            แห่งองค์พระศาสดาจารย์ 
ส่องสัตว์สันดาน
สว่างกระจ่างใจมล
            ธรรมใดนับโดยมรรคผล 
เป็นแปดพึงยล
และเก้านับทั้งนฤพาน
            สมญาโลกอุดรพิสดาร 
อันลึกโอฬาร
พิสุทธิ์พิเศษสุกใส
            อีกธรรมต้นทางครรไล
นามขนานขานไข
ปฏิบัติปริยัติเป็นสอง
            คือทางดำเนินดุจครอง
ให้ล่วงลุปอง
ยังโลกอุดรโดยตรง
            ข้าขอโอนอ่อนอุตมงค์ 
นบธรรมจำนง
ด้วยจิตและกายวาจาฯ 
 
คำนมัสการพระสังฆคุณ
กาพย์ฉบัง ๑๖
สงฆ์ใดสาวกศาสดา
รับปฏิบัติมา
แต่องค์สมเด็จภควันต์
เห็นแจ้งจตุสัจเสร็จบรร-
ลุทางที่อัน
ระงับและดับทุกข์ภัย
โดยเสด็จพระผู้ตรัสไตร
ปัญญาผ่องใส
สะอาดและปราศมัวหมอง
เหินห่างทางข้าศึกปอง
บ มิลำพอง
ด้วยกายและวาจาใจ
เป็นเนื้อนาบุญอันไพ-
ศาลแด่โลกัย
และเกิดพิบูลย์พูนผล
สมญาเอารสทศพล
มีคุณอนนต์
อเนกจะนับเหลือตรา
ข้าฯ ขอนบหมู่พระศรา-
พกทรงคุณา-
นุคุณประดุจรำพัน
ด้วยเดชบุญข้าอภิวันท์
พระไตรรัตน์อัน
อุดมดิเรกนิรัติศัย
จงช่วยขจัดโพยภัย
อันตรายใดใด
จงดับและกลับเสื่อมสูญ ฯ 



                                                              คำนมัสการมาตาปิตุคุณ
 อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
                                                   ข้าขอนบชนกคุณ                 ชนนีเป็นเค้ามูล
                                                   ผู้กอบนุกูลพูน                      ผดุงจวบเจริญวัย
                                                   ฟูมฟักทะนุถนอม                 บ บำราศนิราไกล
                                                   แสนยากเท่าไรไร                  บ คิดยากลำบากกาย
                                                   ตรากทนระคนทุกข์               ถนอมเลี้ยง ฤ รู้วาย
                                                   ปกป้องซึ่งอันตราย                จนได้รอดเป็นกายา
                                                   เปรียบหนักชนกคุณ               ชนนีคือภูผา
                                                   ใหญ่พื้นพสุนธรา                   ก็ บ เทียบ บ เทียมทัน
                                                    เหลือที่จะแทนทด                 จะสนองคุณานันต์
                                                    แท้บูชไนยอัน                        อุดมเลิศประเสริฐคุณ

คำนมัสการอาจริยคุณ
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
                อนึ่งข้าคำนับนอบ                                       ต่อพระครูผู้การุณย์
โอบเอื้อและเจือจุน
อนุศาสน์ทุกสิ่งสรรพ์
ยัง บ ทราบก็ได้ทราบ
ทั้งบุญบาปทุกสิ่งอัน
ชี้แจงและแบ่งปัน
ขยายอรรถให้ชัดเจน
จิตมากด้วยเมตตา
และกรุณา บ เอียงเอน
เหมือนท่านมาแกล้งเกณฑ์
ให้ฉลาดและแหลมคม
ขจัดเขลาบรรเทาโม
หะจิตมืดที่งุนงม
กังขา ณ อารมณ์
ก็สว่างกระจ่างใจ
คุณส่วนนี้ควรนับ
ถือว่าเลิศ ณ แดนไตร
ควรนึกและตรึกใน



จิตน้อมนิยมชม